รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2325-2352 ครองราชย์ 27 พรรษา
พระราชประวัติ
พระชนมายุ 74 พรรษา มีพระนามเดิมว่า
ทองด้วง ทรงพระนามเต็มว่า"
พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี
ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ธรณินทราธิราชรัตนากาศภาสกรวงศ์องค์ปรมาธิเบศร
ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตนชาติอาชาวศรัย สมุทัยวโรมนต์สกลจักรฬาธิเบนทร์
สุริเยนทราธิบดินทรหริหรินทรธาดาธิบดีศรีสุวิบุลยคุณธขนิษฐ์
ฤทธิราเมศวรมหันต์บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพนฤดินทร์ภูมินทรปรามาธิเบศร
โลกเชฎฐวิสุทธิ์รัตนมกุฎประเทศตามหาพุทธางกูรบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว " องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
เสด็จพระราชสมภพ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 ตรงกับ วันพุธแรม 5 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง ได้รับราชการ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรีเป็นพระยาราชนรินทร์ในกรมพระตำรวจเจ้าพระยาจักรีและสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกสมุหนายกและแม่ทัพใหญ่ในสมัยกรุงธนบุรีทรงปราบดาภิเษก
ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามเมื่อวันที่ 6
เมษายน พ.ศ. 2325 ทรงย้ายเมืองหลวงจากกรุงธนบุรีมาเป็นกรุงเทพมหานคร
เริ่มสร้างพระบรมมหาราชวังและสร้างวัดพระศรีรัตน์ศาสดารามเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตเสร็จในปี
พ.ศ. 2327 ทรงเป็นนักรบและตรากตรำการสงคราม มาตั้งแต่ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาตลอดสมัยกรุงธนบุรีและในรัชสมัยของพระองค์เอง
พระราชบิดาทรงพระนามว่า ออกอักษรสุนทรศาสตร์ พระราชมารดาทรงพระนามว่า
ดาวเรือง มีบุตรและธิดารวมทั้งหมด 5 คน คือ
คนที่ 1 เป็นหญิงชื่อ "สา" (
ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าพี่นางเธอกรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี )
คนที่ 2 เป็นชายชื่อ "ขุนรามนรงค์" (
ถึงแก่กรรมก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ 2 )
คนที่ 3 เป็นหญิงชื่อ "แก้ว" (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าพี่นางเธอกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์
)
คนที่ 4 เป็นชายชื่อ "ด้วง"
(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช )
คนที่ 5 เป็นชายชื่อ "บุญมา" (
ต่อมาได้รับสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระอนุชาธิราช )
เมื่อเจริญวัยได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอุทุมพร
-พระชนมายุ 21 พรรษา
ออกบวชที่วัดมหาทลาย แล้วกลับมาเป็นมหาดเล็กหลวงในแผ่นดินพระเจ้าอุทุมพร
-พระชนมายุ 25 พรรษา
ได้รับตัวแหน่งเป็นหลวงยกกระบัตร
ประจําเมืองราชบุรีในแผ่นดินพระที่นั่งสุริยามรินทร์ พระองค์ได้วิวาห์กับธิดานาค
ธิดาของท่านเศรษฐีทองกับส้ม
-พระชนมายุ 32 พรรษา
ในระหว่างที่รับราชการอยู่กับพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เลื่อนตําแหน่งดังนี้
-พระชนมายุ 33 พรรษา พ.ศ. 2312 ได้เลื่อนเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์
เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบชุมนุมเจ้าพิมาย
-พระชนมายุ 34 พรรษา พ.ศ. 2313
ได้เลื่อนเป็นพระยายมราชที่สมุหนายกเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีไปปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง
-พระชนมายุ 35 พรรษา พ.ศ. 2314 ได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาจักรี เมื่อคราวเป็นแม่ทัพไปตีเขมรครั้งที่ 2
-พระชนมายุ 41 พรรษา พ.ศ. 2321
ได้เลื่อนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเมื่อคราวเป็นแม่ทัพใหญ่ไปตีเมืองลาวตะวันออก
พ.ศ. 2323
เป็นครั้งสุดท้ายที่ไปปราบเขมร
ขณะเดียวกับที่กรุงธนบุรีเกิดจลาจลจึงเสด็จยกกองทัพกลับมากรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ. 2325
พระองค์ทรงปราบปรามเสี้ยนหนามแผ่นดินเสร็จแล้วจึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติปราบดาภิเษก
แล้วได้มีพระราชดํารัสให้ขุดเอาหีบพระบรมศพของพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นตั้ง ณ
เมรุวัดบางยี่เรือพระราชทานพระสงฆ์บังสุกุลแล้วถวายพระเพลิงพระบรมศพ
เสร็จแล้วให้มีการมหรสพ
ในด้านการศาสนา ได้โปรด
ให้มีการสังคายนา ชำระ
พระไตรปิฎก พร้อมทั้งอรรถกถา ฎีกา ฯลฯ ณ วัดมหาธาตุ โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างหอมณเฑียรธรรมขึ้นในบริเวณวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวังสำหรับเป็นที่เก็บคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาและทรงจัดการปกครองคณะสงฆ์ให้เรียบร้อย พระราชานุกิจ (กิจวัตรประจำวัน)
ของพระองค์ตลอดรัชสมัยเป็นที่น่าประทับใจพระองค์ทรงงานตั้งแต่เช้าตรู่จนดึกดื่นทุกวันมิได้ขาดเริ่มตั้งแต่ทรงบาตรถวายภัตตาหารพระสงฆ์
ฟังรายงานจากพระคลังมหาสมบัติออกรับพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนาง ฟังรายงานและวินิจฉัยคดีจาก
จางวางและปลัดกรมตำรวจวินิจฉัยเหตุการณ์บ้านเมือง
ทั้งข้าราชการจากฝ่ายทหารและพลเรือนแล้วจึงเสวยพระกระยาหารเช้าแล้วพบข้าราชการฝ่ายในหลังพระกระยาหารค่ำ
ทรงฟังพระธรรมเทศนาฟังรายงานการใช้จ่ายเงินคลังการก่อสร้างเสร็จแล้วเสด็จออกรับขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนกรมท่านำใบบอกหัวเมืองมากราบทูลทรงวินิจฉัยปัญหาต่าง
ๆ อยู่จน 4 ทุ่ม
หรือดึกกว่านั้นแล้วจึงเสด็จขึ้นบรรทมเป็นพระราชกริยาวัตรตลอดมา
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๑
เป็นรูปปทุมอุณาโลม มีอักขระ \"อุ\" อยู่กลาง
ล้อมรอบด้วยกลีบบัวอันเป็น พฤกษชาติที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา
ตราอุณาโลมมีรูปร่างคล้ายสังข์เวียนขวา อยู่ในกรอบลายกนก เริ่มใช้คราวพระราช
พิธีบรมราชาภิเษก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น