รัชกาลที่4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 4 ครองราชย์ 16 ปี (พ.ศ. 2394-2411)
พระชนมายุ 66 พรรษา
เสด็จพระราชสมภพ วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347พระนามเดิมว่า
เจ้าฟ้ามหามาลา เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีมีพระนามเดิมว่าเจ้าฟ้ามหามาลาเมื่อพระชนมายุได้
9 พรรษา ได้รับสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎมีพระราชอนุชาร่วมพระราชมารดา
คือ เจ้าฟ้าจุฬามณีซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระชนมายุได้ 21
พรรษาได้ออกผนวชตามประเพณีและอยู่ในเพศบรรพชิตตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อรัชกาลที่ 3 สวรรคตจึงได้ลาสิกขามาขึ้นครองราชย์สมบัติ
ระหว่างที่ทรงผนวชประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุแล้วทรงย้ายไปอยู่วัดราชาธิวาส
(วัดสมอราย) พระองค์ได้ทรงตั้งคณะสงฆ์ ชื่อ " คณะธรรมยุตินิกาย " ขึ้น
ต่อมาทรงย้ายไปอยู่วัดบวรนิเวศวิหารได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะและได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศองค์แรกทรงรอบรู้ภาษาบาลีและแตกฉานในพระไตรปิฎกนอกจากนั้นยังศึกษาภาษาลาตินและภาษาอังกฤษจนสามารถใช้งานได้ดี
ในรัชสมัยของพระองค์อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส
ต่างก็ส่งทูตมาขอทำสนธิสัญญาในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่คนในบังคับของตนและสิทธิการค้าขายเสรีต่อมาไทยได้ทำสัญญาไมตรีกับประเทศนอร์เวย์ เบลเยี่ยมและอิตาลี และได้ทรงส่งคณะทูตออกไปเจริญพระราชไมตรีกับต่างประเทศ
นับเป็นครั้งที่สองของไทยนับต่อจากสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโดยไปยังประเทศอังกฤษ
และฝรั่งเศส ทรงจ้างชาวยุโรปมารับราชการในไทย
ในหน้าที่ล่ามแปลเอกสารตำราครูฝึกวิชาทางทหารและตำรวจและงานด้านการช่างทรงตั้งโรงพิมพ์ของรัฐบาล
ตั้งโรงกษาปณ์เพื่อผลิตเงินเหรียญ แทนเงินพดด้วงและเบี้ยหอยที่ใช้อยู่เดิมมีโรงสีไฟ
โรงเลื่อยจักร เปิดที่ทำการศุลกากร ตัดถนนสายหลัก ๆ ได้แก่ ถนนบำรุงเมือง
ถนนเฟื่องนคร ถนนเจริญกรุง และถนนสีลม มีรถม้าขึ้นใช้ครั้งแรกขุดคลองผดุงกรุงเกษม คลองมหาสวัสดิ์
คลองภาษีเจริญ คลองดำเนินสะดวก และคลองหัวลำโพง
ในปี พ.ศ.๒๓๙๔ (พระชนมายุได้ ๔๗ พรรษา ทรงผนวชมาได้ ๒๗ พรรษา) พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ได้เข้ากราบถวายบังคมทูลอัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติสืบพระราชสันติวงศ์
รัชกาลที่ ๔ โดยมีพระราชปรมาภิไธยโดยย่อว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรามหามงกุฎพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
นับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระมหากษัตริย์กับอาณาประชาราษฎรให้เข้ากับกาลสมัยในรูปใหม่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่พระองค์ทรงอยู่ในสมณเพศนานถึง
๒๗ พรรษา ได้เสด็จธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่างๆ เป็นโอกาสให้ทรงได้รับรู้สภาพความเป็นอยู่
โดยแท้จริงของราษฎรส่วนใหญ่ด้วยพระองค์เองนับเป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่ง
และเป็นการเตรียมพระองค์ เพื่อปกครองบ้านเมืองในอนาคตเป็นอย่างดีประกอบกับลัทธิจักรวรรดินิยมที่แผ่ขยายมายังประเทศใกล้เคียงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในทวีปเอเชียทำให้พระองค์ทรงตระหนักว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศสยามจะต้องยอมรับอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกและเร่งปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยโดยทรงปฏิบัติ
พระราชกรณียกิจในหลายๆ ด้านไปพร้อมๆกันด้วยพระบรมราโชบายที่มีทรรศนะไกลและด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ
คือ
๑. ด้านการต่างประเทศ
๒. ด้านการเสริมสร้างความมั่นคง และการป้องกันพระราชอาณาจักร
๓. ด้านการปฏิรูปการปกครอง
๔. ด้านการทำนุบำรุงอาชีพของราษฎร
และการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และการคลัง
๕. ด้านบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎร
๖. ด้านบำรุงศึกษาศาสตร์
๗. ด้านพระราชพิธี ประเพณี ธรรมเนียม
๘. ด้านพระศาสนา
๙. ด้านการก่อสร้าง
ด้านการปกครองได้จัดตั้งตำรวจนครบาล ศาล
แก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา ด้านศาสนาได้สร้างวัดราชประดิษฐ์วัดมงกุฎกษัตริยารามและวัดปทุมวนาราม
เป็นต้น ทรงเชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์สามารถคำนวณการเกิดจันทรุปราคาและสุริยุปราคาได้อย่างแม่นยำทรงคำนวณ
การเกิดสุริยุปราคาหมดดวงในวันขึ้น 1
ค่ำ เดือน 10 ปี พ.ศ. 2411 ณ
ตำบลหว้ากอ(คลองวาฬ) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้อย่างถูกต้อง
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๔
เป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎในกรอบรูปกลมรีเป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า
"มงกุฎ" มีฉัตรตั้งขนาบพระมหาพิชัยมงกุฎทั้งสองข้างมีพานทองสองชั้นวางแว่นสุริยกาลหรือเพชรข้างหนึ่งวางสมุดตำราข้างหนึ่งพระแว่นสุริยกาลหรือเพชรมาจากฉายาเมื่อทรงผนวชว่า
"วชิรญาณ" ส่วนสมุดตำรามาจากการที่ได้ทรง ศึกษาและมีความเชี่ยวชาญในด้าน
อักษรศาสตร์และดาราศาสตร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น