วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รัชกาลที่9 ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

รัชกาลที่9    ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช


รัชกาลที่ 9 ครองราชย์ ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๔๘๙ จนถึงปัจจุบัน
         เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ณ มลรัฐแมซซาชูเซทส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นพระราชโอรสองค์เล็กของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์อดุลยเดชวิกรมบรมราชชนกและสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเมื่อพระชนมายุได้ ๑ พรรษา ได้เสด็จ นิวัตสู่ประเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ภายหลัง จากที่สมเด็จพระราชบิดาเสด็จทิวงคตแล้วได้เสด็จกลับไปประทับที่เมืองโลซานน์ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเข้ารับการศึกษา ณ ที่นั้นเมื่อสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบแทนเมื่อพระชนมายุได้ ๑๙ พรรษาโดยมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้วทรงเสด็จไปศึกษาต่อในวิชานิติศาสตร์ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์พระองค์ได้เสด็จนิวัติสู่ประเทศไทย เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลและได้ทรงเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถซึ่งขณะนั้นดำรงพระยศ เป็น ม.ร.ว.สิริกิต์ กิติยากรพระธิดาของพระวรวงศ์เธอกรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถและได้ประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมราชินีได้มีพระบรมราชาภิเษก  เฉลิมพระปรมาภิไธยว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหิตลาธิเบศร์ รามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตรและทรงเสด็จออกสีหบัญชรพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาทพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประชาชนเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓   พิธีจารึกพระสุพรรณบัฏดวงพระราชสมภพและพระราชลัญจกรถูกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-21 เมษายน พุทธศักราช 2493 โดยมีหลวงบรรเจิดอักษรการ (ทับ สาตราภัย) เป็นอาลักษณ์จารึกพระปรมาภิไธยในพระสุพรรณบัฏพระยาโหราธิบดี (แหยม วัชรโชติ) เป็นผู้จารึก ดวงพระราชสมภพหม่อมเจ้าสมัยเฉลิมกฤดากรเป็นผู้แกะพระราชลัญจากรประจำรัชกาลและพระครูวามเทพมุนี (สวาสดิ์ รังสิพราหมณกุล) เป็นผู้เจิมพระราชลัญจกรพิธีถวายสักการะสมเด็จพระบรมราชบุพการีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเพื่อทรงสรงพระมุธาภิเษกจากนั้นทรงเครื่องบรมขัตติยมหาราชภูษิตาภรณ์ เสด็จฯ ออก ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณเพื่อทรงรับน้ำอภิเษก พระสุพรรณบัฎ เบญจรสชกกุธภัณฑ์เครื่องขัตติยราชูปโภคและพระแสงราชศัตราวุธแล้วทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก ทรงตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม  เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม"   เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ได้เสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์    เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๓ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงเสด็จนิวัติพระนคร ได้เสด็จออกผนวช ณ วัด พระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๙ แล้วเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหารระหว่างที่ทรงผนวชสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จึงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนา เป็นสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเป็นเอนกประการแผ่ไพศาลไปทั่วทั้งในประเทศและต่างประเทศทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ ทั้งในยุโรปเอเชีย และอเมริกาเพื่อเจริญพระราชไมตรี อย่างกว้างขวางปรากฎพระเกียรติคุณอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนด้านในประเทศทรงเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในชนบทที่อยู่ห่างไกลเพื่อรับทราบปัญหาต่าง ๆ โดยตรงและได้ทรงริเริ่มโครงการตามพระราชดำริเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้นพร้อมทั้งพัฒนาให้ดีขึ้นเพื่อให้สามารถช่วยตนเองได้พระราชกรณียกิจของพระองค์ทั้งในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของประเทศและในฐานะส่วนพระองค์ เป็นไปอย่างไม่หยุดยั้งทรงเต็มเปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรมทรงมีพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ ยากที่จะหาผู้เสมอเหมือนทรงมีพระราชศรัทธาตั้งมั่นและแตกฉานในพระศาสนาและทรงถ่ายทอดแก่พสกนิกรของพระองค์ในทุกโอกาส ดังเราจะได้พบในพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่ประชาชนในโอกาสต่าง ๆ อย่างมิรู้สิ้น
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๙

      เป็นรูปพระที่นั่งอัฐทิศ ประกอบด้วยวงจักรมีอักษร อุ หรือเลข ๙ อยู่กลางวงจักรรอบ วงจักรมีรัสมีเปล่งออกโดยรอบมีรูปเศวตฉัตรเจ็ดชั้นอยู่เหนือจักรฉัตรตั้งอยู่บนพระที่นั่งอัฐทิศหมายถึงทรงมีพระบรมเดชานุภาพในแผ่นดิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น